ชนิดของคำในภาษาไทย
บทนำ
ภาษาไทยที่เราใช้พูดและเขียนเพื่อการศึกษานั้นประกอบขึ้นด้วยหน่อยที่มีขนาดต่างๆกัน
โดยเริ่มจากขนาดเล็กสุด โดยเริ่มจากขนาดเล็กที่สุดไปหาขนาดใหญ่ที่สุด คือ เสียง
พยางค์ คำ วลี ประโยค และสัมพันธสาร
โดยทั่วไปไปเรามักมองว่าหน่อยเสียงที่เล็กประกอบขึ้นเป็นหน่อยใหญ่ เช่น
คำประกอบขึ้นเป็นวลี วลีประกอบขึ้นเป็นประโยค
ลักษณะดังกล่าวทำให้เห็นว่าหน่อยทางภาษาต่างๆ
มีขนาดไม่เท่ากันแต่ในความเป็นจริงแล้ว
หน่อยทางภาษาซึ่งทำหน้าที่ในระดับที่ใหญ่กว่าไม่จำเป็นต้องประกอบด้วยหน่อยที่เล็กกว่าเสมอไป
บางครั้งหน่อยเล็กเพียงหน่อยเดียวอาจทำหน้าที่ในระดับใหญ่ก็ได้ เช่น แม่ถามลูกว่า “กินข้าวมั้ย” ลูกตอบว่า “กิน” หน่วยภาษา “กิน” ทำหน้าที่เป็นประโยคซึ่งละหน่วยประธานและธรรมไว้
ความสัมพันธ์กันทางหน่วยภาษาในข้างต้นเป็นไปตามแนวคิดเรื่องวากยสัมพันธ์ (syntax) ซึ้งเป็นสาระสำคัญของการนำเสนอในหน่วยนี้
ระบบกลุ่มคำในภาษาไทยที่จะกล่าวถึงในที่นี้
เป็นการพิจารณาถึงคำที่เรียงต่อเนื่องกันเป็นกลุ่ม
และกลุ่มที่ใหญ่สุดคือสัมพันธสาร ในสัมพัธสารมีกลุ่มที่เล็กลงมาคือ ประโยค
ในประโยคจะมีกลุ่มของวลีซึ่งประกอบมาจากคำ
แต่ในด้านของการนำเสนอจะเริ่มจากหน่วยที่เล็กไปหาหน่วยที่ใหญ่
ดังนั้นในบทนี้จึงแบ่งประเด็นสำคัญออกเป็น 3 ประการ ได้แก่
ชนิดของคำในภาษาไทย วลีในภาษาไทย และประโยคในภาษาไทย
การจำแนกชนิดของคำในภาษาไทยมีการศึกษากันมานานพอสมควร และกระทำกันอย่างหลากหลาย
นักวิชาการต่างก็ใช้แนวคิดและทฤษฎีที่แตกต่างกันออกไป อาทิ พระยาอุปกิตศิลปะสาร 2511 จำแนกได้ 7
ชนิด วิจินตน์ ภาณุพงศ์ 2542 จำแนกได้ 26
ชนิด และสมทรง บุรุษพัฒน์ 2526 จำแนกได้ 18
ชนิด นอกจากนี้ในหนังสือ “บรรทัดฐานภาษาไทย
เล่ม 3 ชนิดของคำ วลี ประโยคและสัมพันธสาร” สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
สถาบันภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้จัดดำเนินการ โดยมีศาสตราจารย์กิตติคุณ
ดร.วิจินต์ ภาณุพงศ์ เป็นประธานกรรมการ ซึ่งได้จำแนกคำออกเป็น 12 ชนิด ได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำช่วยกิริยา คำวิเศษณ์
คำที่เกี่ยวกับจำนวน คำบอกกำหนด คำบุพบท คำเชื่อม คำลงท้าย คำอุทาน และคำปฎิเสธ
เป็นการจำแนกโดยใช้เกณฑ์หน้าที่ เกณฑ์ตำแหน่งที่คำปรากฏและสัมพันธ์กับคำอื่น
และเกณฑ์ความหมาย
ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนจึงอาศัยการจัดแบ่งชนิดของคำดังกล่าวทั้ง 12 ชนิด มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น